เปิด 5 ตำนาน ผืนป่าลี้ลับในประเทศไทย
ตามล่า 5 ตำนาน ผืนป่าลี้ลับในประเทศไทย
สิ่งลี้ลับเป็นเรื่องที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถหาข้อพิสูจน์ได้ ส่วนใหญ่มักมาจากตำนาน
เรื่องเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและความเชื่อในอดีตกาล หนึ่งในเรื่องที่มักได้ยินกันบ่อยก็คือ ‘ อาถรรพ์ของผืนป่า ’
วันนี้เราจึงยกตัวอย่าง 5 ผืนป่า ที่มีเชื่อเสียงด้านความลี้ลับมาเล่าให้ฟัง เพื่อเป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้คน
ที่คิดจะลองดีกับสิ่งที่มองไม่เห็นมาเล่าให้ฟัง
1. ตามล่าคำสาปพม่าแดงและอาถรรพ์แห่ง ‘ แก่ง กระจาน ’
‘ แก่ง กระจาน ’
พื้นที่ท่องเที่ยวศึกษาธรรมชาติที่มีขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์ เป็นพื้นที่อนุรักษ์ที่
ถูกเสนอชื่อให้เป็นมรดกโลก แก่ง กระจาน เป็นพื้นที่ป่าที่อุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยต้นไม้ลำธารและสิ่งที่เป็นที่กล่าวขานของพื้นที่นี้อีกอย่าง
ก็คือ ‘ เรื่องลี้ลับ ’
เมื่อหลายปีก่อนมีข่าวอุบัติเหตุที่โด่งดังไปทั่วประเทศนั่น ก็คือ มีเฮลิคอปเตอร์ตกติดต่อกันถึง 3 ลำ ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 17 ราย
เหตุการณ์นี้สร้างความตื่นตระหนกแก่ชาวไทยเป็นอย่างมาก และยังมีเรื่องราวลี้ลับที่เชื่อมเข้ากับเหตุการณ์นี้อีกด้วย
จากการให้การของเจ้าหน้าที่ เล่าว่า ในตอนที่พวกเขาเข้าไปค้นหาผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว
ได้ปรากฎภาพของชายสองคนในภาพถ่ายที่มีเปลวไฟกำลังลุกไหม้แล้วก็หายไปอย่างไร้สาเหตุ
และข้อมูลจากกล่องดำบ่งบอกว่า เฮลิคอปเตอร์สองลำแรกที่ตกอาจเกิดจากอุบัติเหตุทางสภาพอากาศ แต่ลำสุดท้ายนั้น
ได้สูญเสียการควบคุมอย่างไร้สาเหตุ จึงเป็นที่เล่าขานกันต่อว่า อาจเป็นเป็นคำสาปของชาวกระเหรี่ยงโบราณ
ที่มีความโกรธแค้นกองทัพไทยมาแต่อดีต
ในยุคสมัยหนึ่ง มีกลุ่มคนที่ใช้ชื่อว่า ‘ พม่าแดง ’ ได้ลุกล้ำเข้ามาในเขตชายแดนของ
แก่งกระจาน เพื่อลักลอบล่าสัตว์และค้าของเถื่อน สร้างความเดือดร้อนจนทางการประเทศไทยต้องส่งทหารไปปราบปรามคนกลุ่มนี้
แต่ผลลัพธ์กลับเป็นความพ่ายแพ้ของทหารไทย ส่วนพวกพม่าแดงกลับหลบหนีไปได้อย่างไร้ร่องรอย
และยังคงเป็นความพ่ายแพ้ที่ยังเป็นปริศนา เพราะทหารไทยทั้งชำนาญเส้นทางและภูมิประเทศมากกว่าแต่กลับเสียท่าอย่างประหลาด
เรื่องเล่าหนึ่งได้กล่าวว่า พม่าแดงได้รับความช่วยเหลือจากหมู่บ้านกะเหรี่ยงโบราณที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งนั้น
ตำนานกล่าวว่าชาวบ้านกลุ่มนี้เชี่ยวชาญในไสยเวทและอาคมมาตั้งแต่อดีตและส่งต่อมนต์ดำเหล่านั้นสืบทอดต่อมา จนมาถึงปัจจุบัน
หัวหน้าของหมู่บ้านนามว่า ‘ คออี้ ’ เป็นพรานที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับศาสตร์มนต์ตราและมีอายุถึง 103 ปี ในเวลานั้น
ได้มีผู้คนสันนิษฐานว่า เหตุเฮลิคอปเตอร์ตกที่เกิดขึ้นมาจากคำสาปแช่ง ของชาวกะเหรี่ยงโบราณ
ที่มีความแค้นต่อทางการไทยที่เคยขับไล่พวกเขาให้ออกจากพื้นที่ของพวกเขา
2. ตามล่า ตำนานดงพญาไฟ แดนลี้ลับของผู้กล้า
‘ดงพญาไฟ’หรือ ‘ ดงพญาเย็น ’ ในปัจจุบันตั้งอยู่ที่จังหวัดสระบุรี เป็นอีกที่หนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องสถานที่ลี้ลับแห่งผืนป่า
เล่ากันว่าเป็นป่าทึบที่พรานป่าที่มีวิชาอาคมนิยมเข้าไปในป่าแห่งนี้ เพื่อลองวิชาและพิสูจน์ความเก่งกาจของตนเอง
รวมถึงเหล่าพระสงฆ์องค์เจ้าที่แสวงหาความบริสุทธิ์ทางจิตวิญญาณได้ใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่ทดสอบจิตใจที่แข็งแกร่ง
ว่ากันว่าคนทั่วไปที่แม้จะชำนาญทาง ต่างเข้าไปในป่าแห่งนี้แล้ว ก็ไม่เคยได้ออกมาอีกเลย นอกจากว่าจะเป็นผู้มีวิชาอาคม
เหตุที่สถานที่แห่งนี้เป็นที่นิยมของเหล่าเกจิอาจารย์หลายๆ สำนัก ก็เพราะเรื่องราวความน่ากลัวของผืนป่านี้ตั้งแต่สมัยอดีตกาล
ตำนานเล่าว่าพื้นที่ ‘ ดงพญาไฟ ’ มีชื่อเดิมว่า ‘ ขวางธบุรี ’ เป็นเขตการปกครองของพญาในราชการ ผู้นำของหมู่บ้านในยุคแรก
เป็นคนมีจิตใจที่ดี สั่งการให้ในทุกวันพระห้ามไม่ให้ชาวบ้านล่าสัตว์หรือทำเรื่องที่เป็นอบายมุขในวันนั้นๆ แต่เวลาต่อมาถึงเวลาเปลี่ยนผ่าน
ของผู้นำหมู่บ้าน ผู้นำคนใหม่เป็นคนที่มีจิตใจไปในทางที่ไม่ดี ก็ได้เปลี่ยนแปลงกฎของหมู่บ้านที่ปฏิบัติกันมาเป็นขั้วตรงข้าม
และชาวบ้านที่มีความโลภอยู่ในตัวอยู่แล้วก็ทำตามกันอย่างทั่วกัน เรื่องนี้ได้ไปถึงหูของพญาผู้เป็นดูแลเขตการปกครองนั้น
ก็ได้จัดการปล่อยงูพิษมากมายไปในหมู่บ้าน จนท้ายที่สุดชาวบ้านก็ล้มหายตายจากและกลายเป็นหมู่บ้านร้างไปในที่สุด
ยุคสมัยดำเนินมาจนถึงปัจจุบันก็ยังคงมีเรื่องเล่าความลี้ลับของพื้นที่แห่งนี้ มาให้ฟังอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็น นักท่องเที่ยวที่เข้าไปเดินป่า
ศึกษาธรรมชาติพบเจอกับเงาแล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย หรือเสียงโหยหวนของชาวบ้านที่เล่ากันว่า ทรมานจากการถูกงูพิษกัด และนี่ก็เป็น
ที่มาของความลี้ลับใน ‘ ดงพญาไฟ ’
3. ถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอนกับความรักที่ไม่สมหวัง
ปีที่แล้วคงจะไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินเรื่องราวของทีมฟุตบอลเยาวชนหมูป่า
ที่เกิดอุบัติเหตุให้ต้องไปติดอยู่ใน ‘ ถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน ’ จังหวัดเชียงราย
ซึ่งนอกจากเรื่องราวลี้ลับที่เกิดขึ้นกับทีมหมูป่าในถ้ำแห่งนี้แล้ว ก่อนหน้านี้
ยังมีเรื่องราวปริศนาอีกหลายเรื่องที่เกิดภายในสถานที่แห่งนี้อีกด้วย
ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ทีมหมูป่าจากการบอกเล่าของชาวบ้านมีอยู่ว่า เคยมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่เคยเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้
เพื่อนั่งสมาธิได้เข้าไปในถ้ำและหายตัวไปเป็นเวลา 7 วัน แต่ในช่วงเวลาที่หายไปนั้นเจ้าหน้าที่ก็ได้ทำการค้นหาโดยทั่วแล้ว
แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของนักท่องเที่ยวทั้งสองเลย จนถึงเวลาดังกล่าว นักท่องเที่ยวได้ให้การว่า ตนเองทั้งสองได้เดินเข้าไปในถ้ำ
และหาทางออกไม่เจอเมื่อเดินต่อไปเรื่อยๆ ก็เหมือนเดินวนกลับมาที่เดิมตลอด
ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันได้มีชายคนหนึ่งที่อยู่ในสภาวะคิดมากต่อชีวิต ได้คิดจะซื้อปลาไปปล่อยที่แม่น้ำ
เมื่อเขาซื้อปลาได้แล้วกำลังจะไปปล่อย กลับนึกคิดถึงถ้ำหลวงนางนอนที่เขาเคยไปในอดีตขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ จึงเดินทางไปที่ถ้ำในเวลาเย็น
ตอนแรกเขาจะไม่เข้าไปเพราะเวลาช่วงนั้นอันตรายกับการเข้าไปในถ้ำ แต่เหมือนมีเสียงเรียกให้ต้องเข้าไปจนได้ พร้อมบอกให้เขานำเครื่องไหว้
สักการะเข้าไปด้วย หลังจากที่เขาเข้าไปปล่อยปลาและจุดธูป หลังจากนั้นก็ระบายเรื่องที่หนักใจในถ้ำและขอพรให้มีสติปัญญาในการทำสิ่งต่างๆ
ด้วยเถิด หลังจากนั้นก็มีอะไรบางอย่างที่บอกให้เขาเข้าไปข้างในถ้ำให้ลึกขึ้น เขาเดินเข้าไปเรื่อยๆ พอรู้สึกตัวจึงคิดจะหันกลับออกไปจากถ้ำ
แต่สิ่งที่เขาสังเกตเห็นคืออะไรบางอย่างที่เลื่อยรูปร่างเหมือนงู แล้วมีแสงเป็นเส้น วิ่งผ่านเข้าไปในถ้ำ
และนี่ก็เป็นเรื่องราวความลี้ลับที่ยังหาคำตอบไม่ได้ของถ้ำหลวงแห่งนี้
ตำนานกำเนิดของถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน
ประวัติเรื่องเล่าดังเดิมของขุนน้ำนางนอนมีอยู่ว่า เมื่อนานมาแล้วพระราชาผู้ครองเมืองในตอนนั้นได้มีลูกสาวที่สวยงามมากและประกาศตามหาเจ้า
ชายต่างแดน ที่จะมาเป็นคู่ครอง แต่นางกลับไม่ถูกใจใครเลยเนื่องจากนางมีความรักกับคนเลี้ยงม้าท้ายวัง เมื่อพระราชารู้จึงกีดกัน
ไม่ให้ทั้งสองได้พบกัน จนท้ายที่สุดนางทนไม่ไหวจึงวางแผนที่จะหนีไปกับคนเลี้ยงม้า แต่ด้วยความที่นางตั้งท้องอยู่จึงเดินทางได้ลำบาก
ทั้งสองหนีมาถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง ตัวนางรู้ว่าคงไปต่อไม่ไหวแล้วอีกทั้งยังต้องหนีการตามล่าของทหารที่ถูกส่งมาตามตัวนางจึงให้สามีรีบหนีไป
แต่สามียืนยันว่าจะไม่หนีเด็ดขาด นางจึงบอกให้ไปหาของกินและเสบียงมาให้นาง คนเลี้ยงม้าจึงบอกว่าเดี๋ยวเขาจะกลับมาให้นางรออยู่ตรงนี้
เวลาผ่านถึงสามวันคนเลี้ยงม้าก็ยังไม่กลับมาสักที จนนางคิดว่าโดนทิ้งซะแล้ว นางจึงออกตามหาแล้วก็พบกับความจริงว่า สามีคนเลี้ยงม้าของนาง
ได้ถูกฆ่าโดยทหารของพระราชา นางเสียใจมากจนใช้ปิ่นปักผมปักเข้าที่หัวของนางแล้วตายลงในที่สุด ว่ากันว่า เลือดของนางเป็นแหล่งกำเนิด
ของแม่น้ำแม่สาย ความรักที่ไม่สมหวังของนางจึงเป็นเรื่องเล่าที่ส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น
4. ตามล่า ตำนานพญานาคและผีจ้างหนังของ ‘ ป่าคำชะโนด ’
‘ ป่าคำชะโนด ’ จังหวัดอุดรธานี เป็นผืนป่าที่โด่งดังในเรื่องความลี้ลับของพญานาค
และเรื่องเล่าของ ‘ ผีจ้างหนัง ’ ที่ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์อีกด้วย
ดินแดนพญานาคแห่งป่าคำชะโนด
ผืนป่าแห่งนี้เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยต้นคำชะโนด มีลักษณะคล้ายต้นปาล์ม ป่าแห่งนี้ถูกเรียกอีกชื่อว่า ‘ เกาะลอยน้ำ ’ เนื่องจากมีน้ำอยู่โดยรอบ
และมีลักษณะเป็นเกาะกลางน้ำ ในช่วงฤดูน้ำที่มีอุทกภัยหลายครั้งในพื้นที่แห่งนั้น ชาวบ้านและหมู่บ้างละแวกนั้น ได้รับผลกระทบกันอย่างมาก
แต่ผืนป่าแห่งนี้กลับลอยน้ำได้อย่างเหลือเชื่อ จนมีเรื่องเล่าเป็นตำนานพื้นเมืองว่า ‘ ป่าคำชะโนด ’ เป็นประตูไปสู่เมืองบาดาลที่เป็นดินแดนของ
เหล่า ‘ พญานาค ’
มีโครงการสำรวจใต้พื้นน้ำของเกาะแห่งนี้หลายรอบและยังคงไม่เป็นผลสำเร็จ อีกทั้งนักสำรวจได้เล่าว่าเจอเหตุการณ์ลี้ลับหลายอย่าง
จนไม่ค่อยมีใครกล้าหาความจริงเกี่ยวกับที่แห่งนี้เท่าไรนัก เช่น ตอนที่ทำการสำรวจเจ้าหน้าที่เล่าว่าเขาได้พบรากไม้ระโยงระยางกันมากมาย
การทับถมของดินและต้นไม้อาจเป็นที่มาของการที่ผืนป่าสามารถลอยตัวได้ แต่เมื่อสำรวจไปจนถึงโพรงรากไม้แห่งหนึ่ง นักสำรวจพยายามจะ
เข้าไปในโพรงนั้นแต่ก็เหมือนมีสิ่งมีชีวิตมาดึงขาไม่ให้เข้าไป จนท้ายที่สุดก็ไม่สามารถเข้าไปได้ เนื่องจากอาจเกิดอันตรายกับนักสำรวจได้
และพอทำการสำรวจอีกรอบ โพรงนั้นกลับมีเถาวัลย์ที่หนาแน่นกว่าเดิมมาปิดทางเข้าไว้ และไม่สามารถหาสาเหตุจากเหตุการณ์นี้ได้
ผีจ้างฉายหนัง
เป็นเรื่องราวปริศนาที่น่าสนใจ จนมีการนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์กันเลยทีเดียว
ในวันหนึ่งบริษัทฉายหนังกลางแปลง ได้รับจดหมายการว่าจ้างให้ไปฉายหนังที่คำชะโนด ตัวเจ้าของก็ไม่ได้สงสัยอะไร
จึงส่งพนักงานไปฉายหนังตามปกติ คนขับรถได้เดินทางไปถึงในเวลากลางคืนแต่น่าแปลกที่รอบข้างเงียบกริบ ไม่มีเสียงของชาวบ้านเลย
ทั้งที่น่าจะมีงานวัดหรืองานเฉลิมฉลองอะไรสักอย่าง ถึงจ้างหนังกลางแปลงมาฉายแต่ก็ไม่ได้สงสัยอะไรมาก พอขับไปสักพักก็รู้สึกว่า
ขับเลยจากสถานที่ฉายมาแล้ว และก็มีหญิงสาวสองคนวิ่งตามรถมาแล้วบอกว่า “ ขับเลยมาแล้วนะที่ฉายหนังอยู่ทางโน้น ” และทั้งสองก็อาสา
นำทางไปยังที่หมาย คนขับรถแปลกใจอย่างมากเพราะตลอดทางที่ขับมา ก็ไม่มีใครเลยและไม่มีรถคันไหนตามมาด้วยแล้วหญิงสาวสองคนนี้
มาจากไหน แต่เขาก็ได้แต่สงสัย เมื่อมาถึงเขาพบกับชาวบ้านมากมายที่รอจะดูหนังกลางแปลงแต่สิ่งที่แปลกคือ การแต่งตัวของชาวบ้าน
ผู้หญิงจะใส่ชุดดำ ส่วนผู้ชายจะใส่ชุดขาว ไม่มีสีอื่นเลยนอกจากสองสีนี้ พวกเขาทำการตั้งจอภาพและฉายหนังไปตามปกติโดยที่มีชาวบ้านนั่งดู
เป็นจำนวนมาก และความแปลกประหลาดอีกอย่างก็คือ ในระหว่างที่ฉายหนัง ไม่มีเสียงพูดคุยของชาวบ้านเลย ทุกคนดูหนังด้วยท่าที่นิ่งและไม่พูด
ไม่จา จนหนังจบชาวบ้านเหล่านั้น ต่างเดินทางกลับทีมฉายหนังก็เก็บอุปกรณ์ตามปกติโดยไร้เสียงพูดคุย ขากลับคนขับรถพบกับหญิงสาวทั้งสองที่
นำทางมาให้ ทั้งสองอาสาไปส่งที่ทางออก และขี่จักรยานคู่ไปกับรถ พอถึงทางออก หญิงสาวทั้งสองบอกลาและหายไปอย่างไร้ร่องรอย
และสิ่งที่พบคือรอยล้อจักยานที่หายเข้าไปในป่าทึบซึ่งคนปกติไม่สามารถเข้าไปได้ หลังจากนั้นทีมฉายหนังได้ไปแวะพักที่ตลาดแล้วก็มีชาวบ้านเข้า
มาถามว่า ‘ ไปฉายหนังที่ไหนล่ะ ’ คนฉายจึงตอบไปว่าที่วัดคำชะโนดครับแต่คำตอบของชาวบ้านที่ตอบกลับมาช่างน่าตกใจ
‘ หะ!เมื่อวานมีงานวัดหรอทำไมไม่รู้เลย ’ คนฉายจึงงุนงงเพราะเมื่อวานก็มีชาวบ้านไปดูหนังกลางแปลงกันตั้งเยอะ
สุดท้ายเมื่อคนฉายเล่าเรื่องทั้งหมดให้เจ้าของบริษัทฉายหนังฟัง ทำให้เจ้าของสงสัยมากและเดินทางไปหาความจริงที่วัดคำชะโนด
เขาได้ไปสอบถามเจ้าอาวาส และท่านก็ได้บอกว่า ‘ โยมอาจถูกผีจ้างแล้วล่ะ ’ จากนั้นเจ้าของก็ดูในใบว่าจ้างเป็นชื่อของคนๆ หนึ่ง
ที่บ้านอยู่ติดกับวัด แต่พอไปหาคนๆ นั้น เขาก็บอกว่าช่วงฉายหนังเขาป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่นอนโทรมอยู่ที่บ้าน ไม่มีทางที่จะเข้าเมืองไปจ้างใครได้
หรอก เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องเล่าปริศนาที่ถูกบอกต่อกันอย่างแพร่หลาย จนกลายเป็นภาพยนตร์ในที่สุด
5. ภูกระดึง ซึ้งถึงใจ
ภูกระดึง สถานที่ยอดฮิตสำหรับนักปีนเขาทั้งหลาย ใครจะไปนึกว่าที่ที่นักท่องเที่ยวต่างเดินทางกันมาอย่างหนาตา จะมีเรื่องเล่าลึกลับซ่อนอยู่
เรื่องราวนี้เกิดขึ้นกับนักศึกษากลุ่มหนึ่ง ที่เดินทางไปท่องเที่ยวในวันหยุด และเป็นเรื่องธรรมดาที่ในกลุ่มเด็กวัยรุ่น มักจะมีคนที่เป็นพวกกล้า
ท้าทายสิ่งที่มองไม่เห็นอย่างไม่เกรงกลัว วัยรุ่นกลุ่มนี้เดินทางไปด้วยกันทั้งหมด 10 คน และมีสมาชิกคนหนึ่งชื่อ บอย ที่ปากล้าท้าทายทุกสิ่ง
พวกเขาได้ไปแวะเล่นน้ำตกพร้อมกับความกล้าของบอยที่ท้าทายต่อบางสิ่งอย่างไม่หยุด แม้รุ่นพี่จะเตือนไปแล้ว หลังจากที่พวกเขาเล่นน้ำเสร็จ
ปรากฏว่าพวกเขากลับหาทางไปต่อไปไม่เจอ จนรุ่นพี่ได้ทำการไหว้ขอขมากับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง หลังจากนั้นก็เดินต่อไปสักพัก
ก็เจอกับไม้สีแดงรุ่นพี่คนนั้นจึงคิดไปว่า ทางที่ไม้นี้ชี้ไปน่าจะเป็นทางออกเลยเดินตามไปพร้อมกับเก็บไม้สีแดงนั้นติดตัวไปด้วย
และพวกเขาก็หาทางออกได้อย่างน่าประหลาด
จากนั้นพวกเขาก็เดินทางไปจนถึงผาหล่มสักในเวลาที่ไม่เย็นมากนัก พวกเขาได้แวะพักผ่อนและถ่ายรูปตามปกติ พร้อมกับรอบตัวเต็มไปด้วย
นักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ในตอนนั้นบอยเริ่มรู้สึกว่ามีใครกำลังมองอยู่ตลอดเวลาแต่เมื่อถามเพื่อนว่ามีใครกำลังมองเขาอยู่ไหมเพื่อนก็สังเกต
นักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ก็ไม่เห็นมีใครมองมาทางพวกเขาเลย ด้วยความคะนองบอยจึงตะโกนไปยังหน้าผาแบบเหน็บแนม เพราะคิดว่าคนที่มองเขา
ต้องเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นแน่ๆ
จากนั้นอากาศเริ่มเย็นพระอาทิตย์ก็ตกดินแล้ว พวกเขาจึงเดินกลับที่ทำการฯ ไปพร้อมกับนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นเพราะด้วยความที่เป็นมือใหม่ในการ
เดินป่า เลยไม่มีใครพกไฟฉายมาสักกคนจึงจะอาศัยไฟของนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นนำทาง แต่เมื่อเดินไปได้สักพักไฟของนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น
กลับห่างออกไปอย่างรวดเร็วและหายไปในที่สุด บวกกับตอนนั้นก็มืดสนิทมองอะไรไม่เห็นเลย พวกเขาจึงใช้วิธีเกาะกันเดินและนับคนว่า
อยู่กันครบไหมเป็นระยะ เมื่อเดินมาได้สักพักพวกเขาก็เจอร้านค้าเล็กๆ ร้านหนึ่ง เลยซื้อเทียนเพื่อจะใช้เป็นแสงไฟในการเดินกลับ
จากนั้นพวกเขาจึงเดินทางต่อ ระหว่างเดินพวกเขาได้สังเกตอะไรผิดปกติมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเสียงที่เหมือนรูดมือกับใบหญ้า หรือ เพื่อนคนที่อยู่
หน้าบอยก็หันมาบอกบอยว่าเห็นเงาคนตัวใหญ่ ด้วยความปากกล้าบอยจึงตบหัวเพื่อนคนนั้น แล้วบอกว่าไม่เห็นมี จากนั้นบอยเริ่มรู้สึกว่ามีใคร
หายใจรดต้นคอและแน่นหน้าอก เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงทาง 3 แพร่ง และกำลังตัดสินใจว่าจะไปทางซ้ายหรือทางขวาดี
พวกเขาเลยนับคนเพื่อตรวจสอบจำนวน ปรากฏว่านับได้ 9 คน และคนที่หายไปก็คือบอย รุ่นพี่คนหนึ่งอาสาวิ่งกลับไปทางเดิม เพื่อตามหาบอย
พร้อมกับรุ่นน้องอีก 2 คน ส่วนที่เหลือให้รออยู่ที่เดิม เขากลับไปเจอบอยกำลังนอนตัวแข็ง สภาพเหมือนเขากำลังโดนใครบางคนลากเข้าไปใน
พุ่มไม้ เพื่อนๆ ช่วยกันแบกบอยแต่น้ำหนักของเขากลับมากกว่าคนที่ขนาดตัวเท่านี้ พอเดินไปได้ระยะหนึ่ง ก็เห็นแสงไฟจากรถมอเตอร์ไซค์
คนขับใส่ชุดทหารคลุมโม่งพวกเขาจึงขอความช่วยเหลือ จากนั้นก็ได้นำบอยขึ้นรถพร้อมกับคนช่วยแบกอีก 1 คน ระหว่างทาง
รุ่นพี่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้คนขับฟัง น่าแปลก!!! ที่คนขับกลับหัวเราะออกมากอย่างไม่เข้ากับสถานการณ์และบอกกับรุ่นพี่ว่า
‘ มันไม่เป็นอะไรหรอก ’
พอมาถึงห้องพยาบาลมีเจ้าหน้าที่มารับตัวบอยไป ซึ่งตอนนั้นตัวบอยไม่หนักเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนอีก 8 คนที่เหลือ ก็เดินมาด้วยแสงไฟจาก
โทรศัพท์และเห็นพี่ทหารสองคนวิ่งมาเหมือนจะมาช่วยแต่พอออกไปยังพื้นที่สว่าง 2 คนนั้นก็หายไปแล้ว
จากนั้นบอยได้สติกลับมาแล้วเล่าว่ามีผู้ชายตัวใหญ่ตาสีแดง มาทำให้เขาล้มแล้วกดหน้าอกเขาไว้ในตอนที่เพื่อนๆ ช่วยกันแบกเขานั่นเอง
ในเวลาเช้าพวกเขาถามหาเจ้าหน้าที่ที่ช่วยเขาไว้เมื่อคืนเพื่อจะขอบคุณ แต่ก็ไม่มีใครรู้จักหรือเคยเห็นเจ้าหน้าที่คนนั้นเลย แล้วทหารอีก 2 คนที่ทำ
เหมือนจะมาช่วยอีก 8 คน ก็ไม่มีใครพบเห็นเช่นกัน และมีแม่ค้าบอกกับพวกเขาว่า คงเป็นผู้ช่วยองค์พุทธเมตตาที่มักออกมาช่วยผู้คนที่หลงป่า
หลังจากนั้นมีหลักฐานว่าพวกเขาได้เดินทางผ่านทางนั้นมาจริงๆ ดูจากพลาสเตอร์ที่พวกเขาใช้ในการเดินเมื่อคืน ส่วนพื้นที่ที่มีแสงไฟของรถ
มอเตอร์ไซค์ออกมานั้นแท้จริงแล้วก็เป็นพุ่มไม้สูงที่ไม่น่าจะมีอะไรผ่านมาได้
จากนั้นเมื่อบอยกลับไปถึงบ้าน แม่ของเขาทักว่าพาใครตัวใหญ่ตาสีแดงมาด้วย บอยเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้พี่สาวฟังแล้วพี่สาวก็ไปเล่าให้แม่
ฟังในระหว่างการพูดคุยกับพี่สาวแม่ของบอยได้ยินเสียงตะคอกดังมาว่า‘ให้มันไปขอขมากู’
เมื่อรู้เรื่องทั้งหมกแม่จึงพาบอยไปขอขมากับพระ ถวายสังฆทาน และอาบน้ำมนต์
ความห่วงใยของคนในอดีตและการส่งต่อความสวยงาม
เรื่องราวทั้งหมดอาจเกิดขึ้นจากสาเหตุหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ตำนาน ความเชื่อ อุบัติเหตุ ความรู้เท่าไม่ถึงการ ไปถึง
การท้าทายต่อธรรมชาติและสิ่งที่เราไม่รู้จัก สุดท้ายจึงโยงมาสู่เรื่องของการทำพิธีและข้อปฏิบัติต่างๆ ในการเดินเข้าป่า
พิธีกรรมทั้งหลายก่อนเข้าป่าอาจมีความเชื่อ ในทางที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้
และหลายครั้งที่เราละเลยถึงความสำคัญของธรรมชาติ โดยที่อาจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม
การไม่เห็นความสำคัญเหล่านี้ อาจเป็นต้นเหตุในการทำลายความสวยงามของป่าก็ได้
อย่างที่เห็นกันตามสถานที่ท่องเที่ยว ภาพที่มีขยะที่เกิดจากนักท่องเที่ยว หรือการกระทำที่ไม่ให้เกียรติต่อธรรมชาติ
พฤติกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแค่เป็นการท้าทายสิ่งที่มองไม่เห็น แต่มันเป็นการทำลายความสวยงามของธรรมชาติที่สวยงามอีกด้วย
การท่องเที่ยวศึกษาธรรมชาติกลับมาเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวอย่างมากแต่ก็มีนักท่องเที่ยวมากมายที่มีนิสัยมักง่ายละเลยต่อการดูแล
ธรรมชาติ พิธีกรรมต่างๆ ในอดีต
ถ้ามองในแง่วิทยาศาสตร์อาจจะดูเหมือนไร้สาระ แต่ถ้าเรามองว่ามันเป็น คำเตือนและความห่วงใยของคนในอดีต ก็นับว่ามีเหตุผลเพียงพอที่เรา
จะปฏิบัติตามไม่ใช่เพียงเพื่อผืนป่าในยุคของเรา และจะดีกว่าไหมถ้าสามารถส่งต่อสิ่งดีๆ เหล่านี้ไปยังคนรุ่นต่อไปได้ด้วย
การช่วยกันรักษาผืนป่าไม่เพียงเป็นหน้าที่ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่มันเป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะรักษาและดูแลความสวยงามของผืนป่าต่อไป
ตราบนานเท่านาน